“โจ้” ดักทางราชบัณฑิตยสถาน-สมาชิกวุฒิสภา คว่ำกิโลเมตรมติมหาชน บอกเสนอมาเอง ถ้าหากล้ม จำต้องลาออก-ยุบสภา
“ยุทธตระกูล” ชี้ถ้าหากไม่เปิดวิสามัญไตร่ตรอง กิโลเมตรมติมหาชน 7-8 เม.ย. ก็ยิ่งช้า บอกถ้าเกิดร่างถูกคว่ำ รัฐบาลจะต้องลาออก-ยุบสภา
เมื่อเวลา 10.05 น.วันที่ 27 มี.ค. ที่พรรคเพื่อไทย (พื้นที่) นายยุทธพงศ์พันธุ์ สว่างเสถียร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมหาสารคาม รวมทั้งรองหัวหน้าพรรค พื้นที่, นายจิรดงษ์ ทรงวัแก่ภรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี แถลงถึงกรณีร่างพระราชบัญญัติ (พระราชบัญญัติ) มติมหาชน ที่สมาชิกวุฒิสภาจะควํ่า และก็รัฐบาลไม่ยินยอมเปิดสัมมนา ยุควิสามัญฯ ว่า พระราชบัญญัติมติมหาชนเป็น พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลง แล้วก็เป็นข้อบังคับที่เกี่ยวกับการคลัง ซึ่งเสนอโดย พล.อำเภอประยุทธ์ จันทร์โอชะ นายกฯ ผ่านแผนกรัฐบาล แล้วก็ พล.อำเภอประยุทธ์ได้เสนอ พระราชบัญญัติมติมหาชนส่งให้ นายเชื้อเชิญ หลีกภัย ประธานรัฐสภาเกิดเรื่องไตร่ตรองด่วน ตอนวันที่ 4 พ.ย. 2563 ก่อนหน้านี้มีทั้งหมดทั้งปวง 66 มาตรา ซึ่งได้บอกเหตุผลแล้วก็สิ่งที่ต้องการในร่าง พระราชบัญญัติดังที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อเกื้อหนุนการมีส่วนร่วมของประชากรสำหรับการดูแลระบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยราษฎรสามารถแสดงเจตนาผ่านการออกเสียงมติมหาชนเป็นอิสระไม่มีการคลุมงำ
“ถามคำถามว่า เพราะเหตุใดเพราะเหตุไรถึงควรมี พระราชบัญญัติมติมหาชน ด้วยเหตุว่าเกี่ยวข้องกับใจความสำคัญที่มีการขอแก้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ในมาตรา 256 สำหรับเพื่อการออกเสียงมติมหาชนปรับแต่งเพิ่มรัฐธรรมนูญในมาตรา 256 (8) ได้ให้นายเชิญชวนควรมีการแจ้งให้นายกฯได้รู้เพื่อได้มีการดำเนินงานเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการออกเสียงมติมหาชน ซึ่งก่อนที่จะโหวตสำหรับในการปรับปรุงรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ได้มีการส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความหมาย รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำตัดสินออกมาในวันที่ 11 เดือนมีนาคม พูดว่า ก่อนที่จะปรับแต่งรัฐธรรมนูญจำต้องถามราษฎรผู้ครอบครองอำนาจก่อนว่าจะให้แก้รัฐธรรมนูญปี 2560 หรือเปล่า เมื่อปรับแต่งเสร็จก่อนที่จะประกาศใช้จะต้องมีการถามพลเมืองอีกที เป็นการไปทำมติมหาชน เพราะฉะนั้นข้อบังคับมติมหาชนก็เลยเป็นข้อบังคับสำคัญคู่กับการแก้รัฐธรรมนูญ จะมาเตะถ่วงอยู่อย่างงี้ได้ยังไง เพราะว่าการออกเสียงมติมหาชน คณะรัฐมนตรี (คณะรัฐมนตรี) ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 166 บอกไว้ว่า ในกรณีที่ คณะรัฐมนตรีมีความคิดเห็นว่ามีเหตุอันเหมาะสำหรับเพื่อการเสนอหัวข้อการทำมติมหาชน ทั้งยัง 2 กรณีดังที่กล่าวถึงแล้วให้นายกฯประกาศในราชกิจจานุเบกษาสำหรับการออกเสียงมติมหาชน เพื่ออำนาจ คณะรัฐมนตรีสำหรับในการปฏิบัติการออกเสียงมติมหาชน และก็นายวิษณุ เครือสวย รองนายกฯข้างข้อบังคับ กล่าวว่าพระราชบัญญัติมติมหาชนนี้เป็นร่างที่รัฐบาลเป็นคนเสนอจะตกมิได้ ถ้าเกิดตกรัฐบาลจำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกหรือยุบสภา” นายยุทธตระกูลกล่าว
นายยุทธวงศ์วานกล่าวเพราะว่า ร่างปรับปรุงรัฐธรรมนูญถูกโหวตตกไปในวันที่ 17 เดือนมีนาคม เพราะเหตุว่าไม่มี สมาชิกวุฒิสภา 84 คนมาโหวตให้ พอเพียงถึงวันที่ 18 เดือนมีนาคมก่อนหน้านี้ ได้มีการพินิจพิเคราะห์ร่าง พระราชบัญญัติมติมหาชน ตราบจนกระทั่งพิจารณาถึงมาตรา 9 ในร่างที่รัฐบาลเสนอมา เป็นอำนาจสำหรับในการออกเสียงมติมหาชนเป็นอำนาจของ คณะรัฐมนตรี แม้กระนั้นในชั้นคณะกรรมาธิการ (กมธนาคาร) ได้มีการปรับแต่งว่า ให้เพิ่มสิทธิให้สภานิติบัญญัติรวมทั้งพลเมืองเสนอเรื่องมติมหาชนได้ ซึ่งผลโหวตได้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้าน รวมกับ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคร่วมรัฐบาลเป็น พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พรรคยินดีไทย (ภท.) แล้วก็พรรคชาติไทยปรับปรุง (ชทพ.) ได้โหวตด้วยกันชนะ แม้กระนั้น สมาชิกวุฒิสภาไม่ยินยอม มีการตีรวนเพื่อขอให้โหวตใหม่ ซึ่งไม่อาจจะทำเป็นเนื่องด้วยโหวตไปแล้ว
“รู้ดีว่า มาเวลานี้มี สมาชิกวุฒิสภากรุ๊ปใหญ่จัดแจงคว่ำ พระราชบัญญัติฉบับนี้ แม้ว่าจะโหวตผ่านในวาระ 2 ก็จะมีการคว่ำในวาระ 3 ดังนี้ท่านประธานเชื้อเชิญพูดว่าแก้มายี่ห้อ 9 ที่กล่าวว่าให้สิทธิของสภานิติบัญญัติแล้วก็ราษฎรสำหรับในการที่จะเสนอข้อบังคับมติมหาชนได้ ก็เลยไปกระทบมาตราอื่น เป็นมาตรา 10-15 ก็เลยควรจะมีการปรับแต่งข้างใน 7 วัน เมื่อครบ 7 วัน ท่านประธานเชิญจำต้องเสนอไปที่รัฐบาล เพื่อมีการทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาเปิดวาระประชุมวิสามัญในวันที่ 7-8 เดือนเมษายน แล้วก็สำหรับในการสัมมนา คณะรัฐมนตรี ในวันอังคารที่ 23 มี.ค.ก่อนหน้าที่ผ่านมา นายกฯแล้วก็ คณะรัฐมนตรีเงียบ ไม่ยินยอมเสนอประเด็นนี้เข้าพินิจพิเคราะห์สำหรับเพื่อการสัมมนา คณะรัฐมนตรี” นายยุทธวงศ์วานกล่าว
นายยุทธวงศ์วานกล่าวว่ากล่าว ถ้าร่าง พระราชบัญญัตินี้ถูกคว่ำ รัฐบาลมี 2 ทาง เป็นถ้าหากไม่ยุบสภาก็จำเป็นต้องลาออก เนื่องมาจากเป็นร่างที่รัฐบาลเสนอ และก็เป็น พระราชบัญญัติที่มีความหมาย ซึ่งจะแก้รัฐธรรมนูญได้ยังไง ถ้าเกิดว่าไม่มี พระราชบัญญัติประชากรสติ รวมทั้งสำหรับเพื่อการปรับแก้รัฐธรรมนูญ เมื่อการตั้งสมาชิกร่างรัฐธรรมนูญ (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรราชการ) ถูกคว่ำก็จำต้องแก้เป็นรายมาตรา พระราชบัญญัติมติมหาชนก็มาโยงอีก เนื่องด้วยศาลรัฐธรรมนูญเขียนมาแล้วว่า การปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของสมาชิกรัฐสภา แต่ว่าจะต้องถามพลเมืองผู้ครอบครองอำนาจก่อน เป็นแนวทางการทำมติมหาชนก่อน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ทั้งยังรัฐบาลและก็ สมาชิกวุฒิสภาไม่อยากให้มีการปรับปรุงรัฐธรรมนูญ แล้วก็นาชูรัฐมนตรีกล่าวว่า อยากปรับปรุงรัฐธรรมนูญก็เสมือนปากว่าตาขยิบ เพราะเหตุไรถึงไม่รีบเปิดสัมมนาที่ประชุมยุควิสามัญ ถ้าวันที่ 7-8 ม.ย. เปิดมิได้ ก็จะตรงกับวันหยุดหลายวันในตอนเทศกาลวันสงกรานต์ เปิดมาก็สิ้นเดือนเดือนเมษายน ก็จะยิ่งช้าไปกันอีก