‘ปิยลูก’ ชี้สภานิติบัญญัติโหวตส่งศาลแปลความอำนาจสภานิติบัญญัติแก้ รัฐธรรมนูญ ดุจยื่นกระบี่ให้ศาลบั่นคอตนเอง
‘ปิยลูก’ ชี้สภานิติบัญญัติโหวตเห็นดีเห็นงามส่งศาล รัฐธรรมนูญแปลความหมาย สภานิติบัญญัติมีอำนาจแก้ รัฐธรรมนูญไหม ดุจยื่นกระบี่ให้ศาลบั่นคอตนเอง
ช่วงวันที่ 10 ก.พ. ผู้รายงานข่าวแถลงการณ์ว่า ช่วงวันที่ 9 ก.พ. นายปิยลูก แสงสว่างมาศกุล เลขาธิการแผนกเจริญ จัดเฟซบุ๊กไลฟ์ รายการ “สนามข้อบังคับ” พินิจพิจารณาถึงกรณีสภานิติบัญญัติ เพิ่งจะลงความเห็นเห็นดีเห็นชอบให้ส่งประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตั้ง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรราชการ) ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพินิจพิเคราะห์วิเคราะห์ปัญหาด้านหน้าที่ แล้วก็อำนาจของสภานิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) ดังที่ นายไพบูลย์ นิติพระอาทิตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชากรเมือง รวมทั้ง นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ได้ยื่นญัตติเข้ามา
โดยนายปิยลูกบอกว่า ความเห็นวันนี้ หลักสำคัญแรก เป็นการส่งไปตามมายี่ห้อ 210 (2) ที่บอกว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิเคราะห์วิเคราะห์ปัญหาด้านหน้าที่และก็อำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา สภานิติบัญญัติ คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ ซึ่งผูู้ยื่นญัตติมีความคิดเห็นว่าเกิดเรื่องจำเป็นต้องวิเคราะห์ ว่าสภานิติบัญญัติมีอำนาจสำหรับในการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือเปล่า
ซึ่งเป็นอำนาจที่มีต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับ 2540, 2550, แล้วก็ 2560 คู่กับศาลรัฐธรรมนูญไทยมาตั้งแต่มีศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาในประเทศไทย ระบบศาลรัฐธรรมนูญในมากมายประเทศก็มีบทบาทแบบนี้คือเรื่องธรรดา แล้วก็การพิเคราะห์วิเคราะห์ปัญหา เมื่อหน่วยงานตามรัฐธรรมนูญต่างๆมีปัญหาขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างหน่วยงาน ว่าอำนาจรวมทั้งหน้าที่หนึ่งๆเป็นของหน่วยงานใดกันแน่ ศาลรัฐธรรมนูญก็จะเป็นผู้วินิจฉัยว่าอำนาจแล้วก็หน้าที่นั้น เป็นขอองงมากค์มือใดกันแน่
แม้กระนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในญัตตินี้ จะพบเจอได้ว่าไม่มีในกรณีที่สภานิติบัญญัติมีความขัดแย้งกับคนใดกันแน่เลย ว่าอำนาจหน้าที่สำหรับเพื่อการแก้รัฐธรรมนูญเป็นของใครกันแน่ แค่เพียงจู่ๆวันหนึ่งนายสมชายแล้วก็นายไพบูลย์ตื่นมา ก็มานั่งมีความรู้สึกว่าสภานิติบัญญัติสามารถแก้รัฐธรรมนูญได้หรือเปล่า
กรณีแบบนี้มีอันตรายอย่ายิ่ง ถ้าเกิดทำกันแบบนี้บ่อย ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญอีกต่อไป แม้กระนั้นเปลี่ยนมาเป็นที่ปรึกษาข้อบังคับให้กับสภานิติบัญญัติ ไม่ใช่ผู้ตัดสินข้อโต้แย้งแล้ว พวกเราจะต้องไม่ลืมเลือนว่าศาลรัฐธรรมนูญก็คือหน่วยงานตุลาการ มีบทบาทและก็ภารกิจสำหรับในการลงไปวิเคราะห์วินิจฉัยข้อโต้เถียง
แม้กระนั้นกรณีนี้สภานิติบัญญัติเพียงสงสัย ยังมิได้มีข้อโต้เถียงกับคนใดกันแน่ หากเป็นแบบนี้ถัดไป ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นเสมือนคณะกรรมการพระราชกฤษฏีกา รวมทั้งที่เลวไปกว่านั้น ยังมีผลต่อระบบการแบ่งแยกอำนาจตามรัฐธรรมนูญ จะมีผลให้ศาลรัฐธรรมนูญแปลงเป็นหน่วยงานที่ใหญ่ที่สุด เหนือทุกหน่วยงานตามรัฐธรรมนูญ ทั้งที่แต่ละหน่วยงานมีดินแดนอำนาจของตน
“แม้กระนั้นกรณีนี้ สภานิติบัญญัติยังมิได้กล้าใช้อิทธิพลอะไรของตนเลย ยังอยู่ในกรรมวิธีแก้อยู่ ก็ดันมีสมาชิกรัฐสภากรุ๊ปหนึ่ง สยบยอม ยื่นกระบี่นี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญ ให้ช่วยบอกหน่อยว่าสภานิติบัญญัติทำเป็นหรือไม่ นานวันเข้าถ้าเกิดทำกันแบบนี้เป็นประจำทุกเรื่องจะถูกส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญหมด แล้วเพียงพอวินิจฉัยออกมาก็เป็นที่สุด ส่งผลผูกพันทุกหน่วยงาน
นั่นนับได้ว่าต่อแต่นี้ไปศาลรัฐธรรมนูญจะใหญ่ที่สุดในรัฐธรรมนูญ เป็นเจ้าพ่อคุ้มครองรัฐธรรมนูญ เป็นเจ้าแม่ที่จะรอมาบอกว่าอะไรถูกอะไรไม่ถูก เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่รอมาบอกว่าทำเป็นหรือทำไม่ได้ ดุลยภาพอำนาจจากที่แบ่งกันไว้อยู่ในรัฐธรรมนูญก็จะเสียไป ศาลรัฐธรรมนูญก็จะเปลี่ยนสภาพแปลงเป็น ‘ซุปเปอร์รัฐธรรมนูญ’ ” นายปิยลูกกล่าว
หัวข้อลำดับที่สอง นายปิยลูกกล่าวถัดไปถึงข้อคัดค้านที่ถูกเอาขึ้นมาโดยกรุ๊ปของนายสมชายแล้วก็นายไพบูลย์ ที่ทำการแก้รัฐธรรมนูญคราวนี้ไม่ใช่การแก้รัฐธรรมนูญ แม้กระนั้นเป็นการทำรัฐธรรมนูญใหม่อีกทั้งฉบับ เพราะเหตุว่าจะเป็นการไปแก้ให้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรราชการขึ้นมาทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งยังฉบับ ก็เลยไม่อาจจะทำเป็น
ซึ่งตนก็จะต้องทำให้ทราบ ว่าเมืองไทยเคยแปลงรัฐธรรมนูญมาหลายคราว มาจนกระทั่งฉบับ 2560 เป็นฉบับที่ 20 แล้ว หลายๆครั้งก็มีการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเปิดช่องให้ไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นการแปลงรัฐธรรมนูญแบบผู้เจริญ ที่ไม่ใช่การเปลี่ยนรัฐธรรมนูญด้วยแนวทางรัฐประหารที่ไม่มีอารยะ แม้กระนั้นเมืองไทยก็แปลงรัฐธรรมนูญในลักษณะแบบนี้บ่อยกว่ามากมาย
ปริศนาก็คือ ตกลงถ้าเกิดจะแก้รัฐธรรมนูญกันในระบบเพื่อนำไปสู่แนวทางการทำรัฐธรรมนูญใหมม่อีกทั้งฉบับ แม้กระนั้นดันมีสมาชิกรัฐสภามาสงสัยในอำนาจนี้ ว่าการแก้รัฐธรรมนูญกันในระบบให้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรราชการเกิดเรื่องที่ทำไม่ได้ มีความหมายว่าในที่สุดประเทศนี้จะเห็นด้วยให้มีแต่ว่าคณะรัฐประหารเพียงแค่นั้น ซึ่งสามารถยึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญ ถึงจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้อย่างงั้นหรือ?
“ก็น่าไตร่ตรองครับผม ว่าสมชาย แสวงการ และก็ไพบูลย์ นิติพระอาทิตย์ รวมถึงอีก 366 ผู้ที่โหวตวันนี้ ไอ้วันที่ยึดอำนาจ 22 เดือนพฤษภาคม 2557 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 ทิ้งอีกทั้งฉบับ แล้วกำเนิดรัฐธรรมนูญชั่วครั้งคราว 2557 แล้วเปลี่ยนมาเป็นรัฐธรรมนูญ 2560 เนี่ย ไปอยู่ตรงไหนกันมา ได้แย้งกันบ้างหรือเปล่า แล้วพอเพียงมาแก้ในระบบ จู่ๆกำเนิดฉงนสนเท่ห์ขึ้นมาในทันที
ด้วยเหตุผลดังกล่าวคนไหนกล่าวว่าการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่แนวทางการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาทำไม่ได้นั้นไม่จริง เมืองไทยเคยทำมาแล้วสองครั้ง ถ้าเกิดใครกันแน่กล่าวว่าทำไม่ได้ จำเป็นต้องถามเขากลับไปดังๆว่าแล้วเพราะอะไรรัฐประหารทำกันได้ล่ะ แก้รัฐธรรมนูญในระบบนี่ทำไม่ได้ใช่ไหม รัฐประหารนี่ทำกันได้ ฉีกทิ้งอีกทั้งฉบับนี่ทำเป็นใช่ไหม” นายปิยลูกกล่าว
ใจความสำคัญถัดมา นายปิยลูกบอกว่า นอกจากนั้น ยังมีการอ้างถึงคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญที่ 18-22/2555 ที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวิเคราะห์ไว้ตอนมีความอุตสาหะปรับแต่งรัฐธรรมนูญ 2550 เพื่อเปิดช่องให้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรราชการมาทำใหม่ทั้งยังฉบับ ในคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญเพียงแต่กล่าวว่าเพราะเหตุว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ผ่านกระบวนการทำมติมหาชนมา โดยเหตุนี้ก่อนจะไปทำกันใหม่ทั้งยังฉบับ ควรจะถามพสกนิกรด้วยวิธีการทำมติมหาชนก่อน
ศาลรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “ควรได้ให้ราษฎรผู้มีอิทธิพลแต่งตั้งรัฐธรรมนูญ ได้ลงมติมหาชนซะก่อนว่าควรจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไหม?” แม้กระนั้นแม้กระนั้นรัฐธรรมนูญปี 2550 แล้วก็รัฐธรรมนูญปี 2560 ก็แตกต่างกัน การแก้รัฐธรรมนูญ 2560 จำเป็นต้องจบที่มติมหาชนอยู่แล้วจากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ยังไงก็จำเป็นต้องไปจบที่การลงมติมหาชนอยู่แล้ว
นอกจากนั้น นายสมชายแล้วก็นายไพบูลย์ยังบอกว่านี่เป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่ใช่การปรับแก้ แม้กระนั้นที่จริงแล้วมันเป็นการแก้ เป็นการแก้รัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญปี 2560 เพิ่มหมวดใหม่เกี่ยวกับวิธีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา แล้วก็ใช้กรรมวิธีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ไปสร้าง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรราชการไปทำใหม่ทั้งยังฉบับ ก่อนจะไปจบด้วยการลงมติมหาชน แล้วจึงจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาแทน
นี่เป็นแนวทางการของการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่วิธีการทำใหม่ ซึ่งจำเป็นต้องเอาเมืองธรรมนูฉบับนี้ออกไปแล้วเอาอีกฉบับเข้ามาทิ่มแทนเลย แต่ว่านี่เป็นขั้นตอนปรับแก้ตามเดิม แก้เพื่อมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรราชการไปทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา ก็เลยเป็นที่รับรองได้ว่าญัตติที่เสนอกันเข้าไปในที่ประชุมเป็นญัตติการปรับแต่งเพิ่มอีกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ญัตติทำรัฐธรรมนูญใหม่แต่ว่ายังไง
ใจความสำคัญถัดมา ในทางแนวความคิดข้อบังคับรัฐธรรมนูญ มีข้อแย้งเรื่องหนึ่ง กล่าวถึงอำนาจแต่งตั้งรัฐธรรมนูญ หรือก็คืออำนาจคราวไ่ปก่อตั้งรัฐธรรมนูญขึ้นมานั่นเอง ซึ่งประกอบไปด้วยสองส่วน เป็นอำนาจตั้งรัฐธรรมนูญขั้นตอนแรก เป็นจุดเริ่มแรกจากไม่มีรัฐธรรมนูญ จนกระทั่งพลเมืองได้ด้วยกันตั้งรัฐธรรมนูญขึ้นมา
กับอีกส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็คืออำนาจแต่งตั้งรัฐธรรมนูญลำดับที่สอง ภายหลังที่รัฐธรรมนูญได้ถูกจัดตั้งขึ้นมาแล้ว สิ่งที่สภานิติบัญญัติกำลังทำอยู่เวลานี้ ก็คืออำนาจท้องนาจแบบลำดับที่สอง เป็นการไปแก้รัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติมีอำนาจนี้ได้ก็เพราะว่ารัฐธรรมนูญ 2560 บอกให้มี ที่ทำเป็นเพราะว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ให้ทำ ไม่ใช่เป็นการไประเบิดรัฐธรรมนูญทิ้ง แม้กระนั้นเป็นการแก้ให้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรราชการ และไม่ใช่การถ่ายโอนอำนาจสำหรับเพื่อการแก้รัฐธรรมนูญให้กับ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรราชการไปเลย แม้กระนั้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรราชการที่จะเกิดขึ้นเป็นคนจัดทำร่างฉบับใหม่ แม้กระนั้นกลางทาง สภานิติบัญญัติก็แก้รัฐธรรมนูญรายมาตราได้อยู่ตลอด
“โดยเหตุนี้ ทำแล้วในสุดท้ายจะเป็นเยี่ยงไร จะผ่านหรือเปล่าผ่าน มันจะไปจบที่มติมหาชน แล้วมติมหาชนคนใดเป็นคนวินิจฉัย? ก็คือพลเมือง ผู้ที่เป็นเจ้าของอำนาจสำหรับเพื่อการแต่งตั้งรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลดังกล่าวกรรมวิธีคราวนี้ในสุดท้ายมันจะไปจบที่ประชากร ในฐานะผู้ครอบครองอำนาจตั้งรัฐธรรมนูญ ที่จะควรเป็นผู้วินิจฉัยอยู่ดี” นายปิยลูกกล่าว
ต่อจากนั้น นายปิยลูกได้ตั้งข้อคิดเห็นถัดไป ว่าความเห็นชอบที่ออกมาวันนี้ แสดงออกให้มองเห็นถึงการหน่วงเวลา-ขวาง รวมทั้งความไม่จริงใจสำหรับในการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดช่องไปสู่แนวทางการทำรัฐธรรมนูญใหม่อีกทั้งฉบับ นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เคยมีความอุตสาหะมาแล้วข้างหลังการปฏิวัติปี 2549 ที่จะแก้รัฐธรรมนูญ 2550 ให้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรราชการขึ้นมาทำรัฐธรรมนูญใหม่อีกทั้งฉบับ ตอนนั้นก็โดนกัดกัน มีการส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ คนคัดค้านก็ใบหน้าเดิมๆกระทั่งรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ถูกฉีกทิ้งไปจากวิธีการทำรัฐประหาร 2557
เพียงพอมีการทำรัฐธรรมนูญ 2560 ใหม่ ข้างที่ปรารถนารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กำจัดผลพวงของการปฏิวัติ ก็จำต้องเจอกับกลุ่มชนหน้าเก่าที่ออกมากีดกั้นอีก มีเคล็ดลับที่จะขวางไม่ให้มีการปรับปรุงตลอดระยะเวลา ทำให้เกิดเรื่องลำบาก
“การต้องการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นของสามัญชนทั้งทีมันยากเย็นแสนเข็ญอย่างยิ่ง แต่ว่าวันที่ทหารเข็นรถถังออกมาจัดโต๊ะแถลงข่าว ยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ คนกลุ่มนี้หายกริบ บางบุคคลก็มิได้หายกริบ กลับยินดียินดี แล้วเข้าไปสังฆกรรมกับคณะรัฐประหารด้วย ขั้นตอนการนี้เป็นภาพใหญ่ บอกให้เห็นถึงซากเดนของเผด็จการ ซากเดนของระบอบรัฐประหาร มันยังมีชีวิตอยู่ รวมทั้งจะบากบั่นกีดกันทุกแนวทาง” นายปิยลูกกล่าว
ข้อคิดเห็นประการถัดมา นายปิยลูกบอกว่า ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวิเคราะห์เช่นไร ประเด็นนี้ได้มีผลสั่นสะเทือนต่อระบบรัฐธรรมนูญในประเทศไทยไปแล้ว สมมุติว่าศาลรัฐธรรมนูญวิเคราะห์ว่าการแก้รัฐธรรมนูญคราวนี้ทำไม่ได้ ซึ่งก็หมายความว่าเมืองไทยจะไม่มีช่องทางร่างรัฐธรรมนูญใหม่อีกทั้งฉบับเลย จะทำเป็นเพียงแค่แก้รายมาตราไปเรื่อยพลเมืองทุกคนก็จำเป็นต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ไปชั่วกับชั่วกัลป์ ทำเป็นเป็นอย่างมากก็แค่แก้ทีละมาตราเพียงแค่นั้น นอกเสียจากว่ามีการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญนี้เกิดขึ้น
แต่ว่าถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญวิเคราะห์ว่าการแก้รัฐธรรมนูญรอบนี้สามารถทำเป็น โดยบอกเหตุผลว่าเนื่องจากว่ายังคงหมวด 1-2 เอาไว้ ไม่ใช่กระบวนการทำใหม่ทั้งยังฉบับ ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญคิดด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ ผลปรากฏว่าก็คือการแก้รัฐธรรมนูญแต่ละครั้งต่อๆไป ก็จึงควรเว้นหมวด 1-2 เอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะเข้าข่ายแนวทางการทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งยังฉบับ
ซึ่งก็จะมีปัญหาเกิดขึ้นอีก เนื่องจากต่อแต่นี้ไปหากจะมีการแก่รัฐธรรมนูญ ก็ควรมีการเว้นบางหมวดบางมาตราเอาไว้ไม่ให้แก้ แล้วจะเป็นการส่งสัญญาณออกไปว่าท้ายที่สุด ที่สมาชิกรัฐสภาส่วนมากเห็นด้วยกับการห้ามแตะหมวด 1-2 สำหรับเพื่อการทำรัฐธรรมนูญใหม่เป็นสิ่งที่ถูกยุติธรรมแล้ว นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องควรระวังเช่นเดียวกัน
สรุปว่าความเห็นสภานิติบัญญัติวันนี้ อีกทั้ง 366 เสียงที่เห็นดีเห็นงามได้สร้างความเห็นชอบเสื่อมเสียขึ้นมา เป็นความเห็นชอบที่สภานิติบัญญัติยอมแพ้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตัวเองมีอำนาจแก้รัฐธรรมนูญก็ไม่ยินยอมใช้ กลับไปถามศาลรัฐธรรมนูญว่าทำเป็นไหม ไปยื่นกระบี่ให้ศาลรัฐธรรมนูญ แล้วให้ศาลรัฐธรรมนูญมาบั่นคอตนเอง ซึ่งตนขอราษฎรทุกคนจดจำไว้ให้ดีว่าคนไหนกันแน่บ้าง ที่เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมทั้ง สมาชิกวุฒิสภาผู้ร่วมลงความเห็นอดสูในคราวนี้
“ความเห็นสภานิติบัญญัติวันนี้ กำลังเป็นการยื่นอำนาจชี้เป็นชี้ตายในเรื่องรัฐธรรมนูญ ให้ศาลรัฐธรรมนูญไปหมดเลย ถึงแม้ว่าการรั้งดุลศาลรัฐธรรมนูญที่ยอดเยี่ยม ก็คืออำนาจแก้รัฐธรรมนูญของสภานิติบัญญัตินี่ล่ะ จะแก้ให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญก็ยังได้
แต่ว่าถ้าเกิดคุณหงอ แพทย์บขนาดนี้ พร้อมใจกันยื่นกระบี่ให้ศาลรัฐธรรมนูญขนาดนี้ วันหน้าผมคิดภาพไม่ออกเลย ว่าหากสภานิติบัญญัติเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ยุบศาลรัฐธรรมนูญ ดีไม่ดีศาลรัฐธรรมนูญเขาก็จะพูดว่าไม่ให้แก้ นี่เป็นการยื่นกระบี่ให้กับศาลรัฐธรรมนูญ สยบยอมกับศาลรัฐธรรมนูญ แล้วจะก่อให้ศาลรัฐธรรมนูญเปลี่ยนเป็น ‘ซุปเปอร์รัฐธรรมนูญ’ ชี้เป็นชี้ตายโชคชะตาของรัฐธรรมนูญไทยไปนิรันดร” นายปิยลูกกล่าว